บทสัมภาษณ์
พวกเราได้ทำการสัมภาษณ์บุคคลที่มีความเกี่ยวข้องในวงการเสื้อผ้า ในหัวข้อ "แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงการแต่งกายของคนไทยในอนาคต" ซึ่งบุคคลที่พวกเราได้ไปทำการสัมภาษณ์ นั่นคือ
อาจารย์ อโณทัย ชลชาติภิญโญ ซึ่งปัจจุบันอาจารย์ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ และเป็นอาจารย์อยู่ที่ภาควิชาวิทยาการสิ่งทอ คณะอุตสาหกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ประวัติของอาจารย์โดยย่อ : เรียนจบปริญญาตรีที่มหาลัยเกษตรศาสตร์ ภาควิชาคหกรรมศาสตร์
คณะเกษตร และได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาโทปริญญาเอกที่ประเทศอังกฤษทางด้านแฟชั่นดีไซน์
คำถามที่ 1 : "หลักสูตรที่อาจารย์สอนมีอิทธิต่อการแต่งกายในยุคปัจจุบันอย่างไรบ้างคะ"
คำตอบ : "หลักสูตรการสอนที่ภาควิชาก็จะเป็นในเรื่องของการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์
ที่เกี่ยวกับเส้นใหญ่สิ่งทอเสื้อผ้าสำเร็จรูปในเชิงอุตสาหกรรม นิสิตที่เรียนที่นี่ไปจะไปเป็น ดีไซเนอร์ ในระบอุตสาหกรรมเน้นการผลิตจำนวนมากและราคาถูกไม่แพงให้เข้าถึงทุกกลุ่ม เป้าหมาย เราไม่ได้ทำเสื้อผ้าเพื่อความสวยงามอย่างเดียวแต่เรายังมีปัจจัยอื่นๆ
ในเชิงการผลิตการเข้าถึงการซื้อได้และการใช้วัตถุดิบให้เป็นประโยชน์และการใส่ง่าย
การทำแพตเทิร์นที่เป็นไปได้การผลิตที่เป็นไปได้ทุกอย่างเสื้อผ้าก็จะเป็นอะไร
ที่เรียกว่ากลางๆ ใส่ได้จริงแล้วก็ไม่ยุ่งยากไม่ซับซ้อนไม่เป็นไฮแฟชั่นนะครับ"
คำถามที่ 2 : "อาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไรคะการแต่งกายในยุคปัจจุบันมีความแตกต่างกับ
การแต่งกายในยุครัตนโกสินทร์แต่ละสมัย"
คำตอบ : "เป็นเรื่องธรรมดาของวิวัฒนาการการแต่งกาย ถ้าเกิดเรามองย้อนกลับไป ทำไมถึงแต่งตัวแตก ต่างกัน ส่วนหนึ่งมากจากการที่คนเราสวมใส่เสื้อผ้าเพื่อแสดงฐานะและรสนิยม และเมื่อเราเกิด ความคิดที่ว่าเราเหมือนประเทศอื่น มันก็เหมือนเป็นการยอมรับอารยธรรมต่างๆของเขามา ใน สมัยรัตนโกสินทร์เราจะเห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงการแต่งกายเสมอมา จะเห็นได้ว่าเหตุผล ใหญ่ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมาจาก เรื่องของการเมืองการปกครอง จากการที่เราคลาน เข่า มาเป็นการยืน จากเดิมที่เราใส่โจงกระเบนเราเปลี่ยนมาใส่กระโปรงจากเดิมที่ใส่พัดถุง
จนกระทั่งมาถึงยุคของจอมพลป.พิบูลสงครามที่รณรงค์ให้มีการใส่เสื้อผ้าให้มันถูก ขนบธรรมเนียมประเพณีสมัยใหม่มีการใส่หมวกใส่ถุงเท้าใส่เข็มขัด แล้วก็มีอิทธิพลต่อคนใน สังคมที่ต้องเปลี่ยนแปลงตาม ในขณะเดียวกันในระดับบุคคลแต่ละบุคคลเองก็จะมีก เปลี่ยนแปลงตัวเองในสถานะที่เปลี่ยนไป"
คำถามที่ 3 : "จากที่เราไปตรวจที่พิพิธภัณฑ์ อาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไรคะ เมื่อชุดไทยมีความ เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้"
คำตอบ : "ชุดไทยในแต่ละยุคไม่มีการจำแนกแยกแยะที่ชัดเจน จนกระทั่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถก็ได้ออกมากำหนดชุดไทยประจำชาติขึ้นมา เช่น ชุดไทยเรือนต้น
ไทยจักรี ไทยบรมพิมาน ชุดไทยเหล่านั้นถูกกำหนดให้เป็นแบบแผนเพื่อใช้ในงานพระราชพิธี
ที่แตกต่างกันและคนไทยก็ได้ยอมรับ และก็น้อมนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ว่าชุดไทยที่ เห็นในรูป เป็นเหมือนชุดนางรำ แต่ว่าประเด็นคือมันเกิดการเปลี่ยนแปลงตรงที่มันมีผ้าทหาร มาเป็นตัวหน้าตามาเป็นตัวลำตัวซึ่งก็หมายความว่าเขากำลังจะนำเสนอข้อความอะไรบาง อย่างซึ่งก็เป็นหลักการของแฟชั่น แฟชั่นคือการนำเสนอ เขาเรียกว่า Expresses คือ เขาเรียก ว่าการนำเสนอตัวตนออกมา นำเสนอความรู้สึกออกมาและความรู้สึกเหล่านี้เนี่ยมันก็จะไป กระทบกับความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ บางคนอาจจะไม่ชอบ แต่ที่สำคัญที่สุดคือเวลาเกิดการ เปลี่ยนแปลงนั้นมันเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือเป็นแบบปฏิวัติ ถ้าเกิด เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปเราจะไม่ค่อยรู้สึก ดังนั้นตัวชุดไทยชุดนี้เนี่ยเป็นชุดที่มีการใช้ผ้า ทหารมาทำเนี่ย ถามว่าในเชิงความงามแล้วไม่สวยเลย แต่ในเชิงของข้อความที่ส่งออกมา อาจจะโดนใจ อาจจะกระแทกใจ อาจจะสร้างประเด็นขึ้นมาได้ ถามว่า แล้วจะมีคนตามไหม บอกได้เลยว่า ยาก เพราะว่าในเชิงความงามถ้ามันไม่มีเชิงความงามเมื่อไหร่คนก็จะไม่ ยอมรับ เพราะคนส่วนใหญ่ยอมรับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเพราะว่ามันสวยขึ้น ดีขึ้น"
คำถามที่ 4 : "อาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไรคะ ถ้าสภาพแวดล้อมสังคมและเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไป จะส่งผลต่อการแต่งกายในอนาคตอย่างไรคะ"
คำตอบ : สิ่งที่มีจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของคน เนี่ยจะเป็นเรื่องใหญ่ๆ เช่นเรื่องของเทคโนโลยีที่ ทำให้ทุกคนเข้าถึงข้อมูลเหมือนๆกันทุกคนรู้เทรนเดียวกันในเวลาเดียวกัน คนก็จะมีความ International มากขึ้น ทุกคนแต่งตัวเหมือน เแคตตาล้อก ได้มากขึ้น ในขณะเดียวกัน
ปัจจัยอื่นๆ ที่จะมากระทบอย่างเช่น สิทธิสตรีก็จะมีผลต่อผู้หญิง ทำให้ผู้หญิง มีความอยากรู้สึก เท่าเทียม อยากเป็นเหมือนคนที่เด่นกว่า ดังนั้น สิทธิสตรีก็จะบอกว่าผู้หญิงต้องลุกขึ้นมาแข็ง แรง แล้วการแข็งแรงคืออะไร ก็เช่นการยืมเสื้อผ้าผู้ชายมาใช้ เป็นต้น หรือว่าปัจจัยในเรื่องของ การเขาเรียกว่าการไหลบากของวัฒนธรรม ทุกวันนี้เราไปเดินสุขุมวิท เราอาจจะรู้สึกว่า
ตรงซอยนี้มันดูเหมือนจะเป็นตะวันออกกลาง ถัดไปอีกสามซอยเป็นฝรั่ง ถัดไปอีกหน่อยเป็น ญี่ปุ่น อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นเราคุ้นชินกับความเป็นต่างประเทศอยู่ในเมืองเรา
อาหารต่างๆก็เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อมันเปลี่ยนไปเราก็จะเห็นว่าที่เสาชิงช้าก็ไม่ได้มีแค่อาหารไทย ที่ขาย แต่ก่อนเราก็ว่าญี่ปุ่นอาหารจืดชืดสนิทไม่อร่อยเลย แต่พอมาวันนี้เราก็บ้าคลั่งกับมันเมื่อ มันมีกระแส ดังนั้นเสื้อผ้าก็เหมือนกัน มันก็จะรับวัฒนธรรมพวกนี้เข้ามาโดนง่ายดายเมื่อมัน เป็นกระแสความนิยมเมื่อมันเกิดการเขาเรียกว่ามีตัวแปรต่างๆเข้ามาใหม่ๆเนี่ย พวกเนี้ยกระทบ กับการเปลี่ยนแปลงอย่างชีวิต Lifestyles ของคนมากๆ อย่างเช่นตอนนี้Lifestyles ที่เด่นที่สุดก็ จะเป็นLifestyles แบบ Chills out หรือแบบมินิมอล น้อย เรียบ เก็บย้อนรำลึกถึงอดีต เก็บทุก ย่านเห็นธรรมชาติ รักความเป็นไทย รักผ้าขาวม้า รักอะไรต่างๆ ก็จะทำให้คนรุ่นใหม่มีความ รู้สึกว่าต้องกระโจนเข้าไปเกาะกระแสพวกนี้ ในขณะเดียวกันแฟชั่นก็แปลก เป็นอะไรที่เมื่อ ไหร่ที่มันมีจุดสูงสุดมันจะกระเด้งกลับเหมือนลูกตุ้มนาฬิกา เช่น พอเราใส่กระโปรงสั้นสุดแล้ว มันสั้นต่อไปไม่ได้ มันก็จะเปลี่ยนมายาวมาก เมื่อไหร่ที่มันเป็นฝรั่งๆๆ ฝรั่งจัดๆ ความเป็นไทย ก็จะโผล่ขึ้นมาทันที เป็นต้น มันจึงเหมือนเกิดเป็นแรงขับ แรงผลักอะไรบางอย่างที่บางทีเรา ค่อยๆเปลี่ยน ค่อยๆเปลี่ยน จนจุดสูงสุด ก็จะเตรียมตัวได้เลย มันจะกลายเป็นสิ่งตรงกันข้าม ทันที เช่นใส่สลิมฟิตทุกวันนี้ ตอนนี้ไม่มีใครอยากใส่และเพราะทุกคนอยากใส่กางเกงขากว้าง เพราะสลิมฟิตจนไม่รู้จะฟิตอย่างไรแล้วเลกกิ้งแนบตัวแล้ว อะไรก็แล้ว ตอนนี้กลายเป็นกว้าง ยาว เป็นต้น"
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น