รัชกาลที่ 9-ปัจจุบัน

แต่งกายของสตรีไทยในรัชกาลที่ 9-10 
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และ 
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ
(พ.ศ.2489 – ปัจจุบัน)

เสื้อในสมัยนั้น นิยมประดับลูกไม้ จีบระบาย และอาจเปลี่ยนแปลงรูปแบบ เช่น รูปทรง สี ลวดลาย เนื้อผ้า ไปตามอิทธิพลที่ได้รับมาจากต่างชาติ เลือกใส่ตามกาลเทศะและโอกาสให้เหมาะสม 





ในยุคสมัยนี้ ได้รับอิทธิพลมาจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก ทำให้มีความหลากหลายไปตามความชอบ และการออกแบบของแต่ละกระแสความนิยม อาจมีการนำเอาการแต่งกายแบบสมัยยุคก่อนมาประยุกต์ให้เข้าสมัยมากขึ้น เปิดกว้างด้านการแต่งกายของแต่ละเพศมากขึ้น เช่น เสื้อทรงผู้ชาย ผู้หญิงก็สามารถใส่ได้


 



ในยุคสมัยนี้ ได้รับอิทธิพลมาจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก ทำให้มีความหลากหลายไปตามความชอบ และการออกแบบของแต่ละกระแสความนิยม อาจมีการนำเอาการแต่งกายแบบสมัยยุคก่อนมาประยุกต์ให้เข้าสมัยมากขึ้น เปิดกว้างด้านการแต่งกายของแต่ละเพศมากขึ้น เช่น กางเกงทรงผู้ชาย ผู้หญิงก็สามารถใส่ได้ ยกตัวอย่างการแต่งกายท่อนล่าง เช่น






มินิสเกิ๊ต 
มีกระโปรงชนิดหนึ่งแพร่เข้ามาจากต่างประเทศ และกลายเป็นที่นิยมกันมาก ลักษณะเป็นกระโปรงสั้นเหนือเข่า หรือเรียกว่า กระโปรงมินิ นุ่งมินิ













กระโปรงมิดี้ 
ลักษณะเป็นกระโปรงยาวครึ่งน่องอย่างสุภาพ













กระโปรงแม็กซี่ 
ลักษณะยาวจนถึงระดับคลุมเท้า มักใส่ไปงานราตรีหรืองานหรูหรา นิยมใส่กันแต่คนที่ตามสมัยนิยมเป็นส่วนใหญ่













กางเกงเด๊ฟ 
ลักษณะเป็นกางเกงขาลีบ เรียว เหมาะกับผู้ที่ต้องการความสะดวก ทะมัดทะแมง ได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศ














กางเกงม้อด 
เป็นกางเกงขายาว ทรงกระบอก บานช่วงเลยเข่าลงไปเล็กน้อย










 ชุดไทยพระราชนิยม พ.ศ. 2503

ในปี พ.ศ. 2503 เกิดชุดประจำชาติของฝ่ายหญิงของไทย สำหรับเป็นเครื่องแต่งกายหลัก แสดงเอกลักษณ์ไทยโดยตรง โดย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงตัดสินพระทัยให้คิดแบบใหม่ ที่นำเอาชุดไทยแบบสมัยก่อนมาผสมกันให้มีความสวยงามมากยิ่งขึ้น มี 9 รูปแบบ

                     ไทยเรือนต้น ใช้แต่งในงานที่ไม่เป็นพิธีการ หรือในโอกาสปกติและต้องการความสบาย เรียบง่าย เช่น งานกฐิน งานทำบุญ วันสำคัญทางศาสนา ตั้งชื่อตามเรือนต้น ใช้ผ้าไหมมีลายริ้ว ตามขวางหรือตามยาว หรือใช้ผ้าเกลี้ยงมีเชิงซิ่น ยาวจรดข้อเท้า ป้ายหน้า เสื้อใช้ผ้าสีตามริ้วซิ่นหรือเชิงซิ่น จะตัดกับวิ่นหรือสีเดียวกันก็ได้ เสื้อคนละท่อนกับซิ่น แขนสามส่วน กว้างพอสบาย ผ่าอก กระดุม 5 เม็ด คอกลมตื้นไม่มีขอบตั้งที่คอ ข้อสำคัญต้องเลือกใช้ผ้าที่ใช้ตัดให้เหมาะสมกับเวลาและสถานที่ เครื่องประดับที่ใช้ นิยมติดเข็มกลัดขนาดใหญ่พอสมควรไว้ที่เหนืออกเสื้อด้านซ้าย ตุ้มหูต้องเป็นแบบติดกับใบหู สร้อยคอประเภทไข่มุกหรือ สร้อยทองสามสาย ไม่ต้องคาดเข็มขัด





                ไทยจิตรลดา มีความเป็นทางการกว่าชุดไทยเรือนต้น เป็นชุดไทยพิธีกลางวัน ใช้ในโอกาสพิเศษ หรือใช้ในงานที่ผู้ชายแต่งเต็มยศ เช่น งานพระราชพิธีต่าง ๆ รับประมุขต่างประเทศเป็นทางการ หรืองานสวนสนาม ตั้งชื่อตามพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ใช้ผ้าไหมเกลี้ยงมีเชิง หรือทอยกดอกทั้งตัวก็ได้ ตัดเป็นซิ่นยาว ป้ายหน้า เสื้อคนละท่อนกับซิ่น คอกลมมีขอบตั้งน้อยๆ ผ่าอก แขนยาว โดยเนื้อผ้าควรเลือกให้เหมาะกับโอกาส สำหรับงานพระราชพิธีนิยมเครื่องประดับที่หรูหราขึ้น ไม่ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์และไม่ต้องคาดเข็มขัด ควรประดับด้วยสร้อยคอ ติดกระดุมทอง สร้อยข้อมือ และต่างหูให้สวยงาม




ไทยอมรินทร์ ใช้สำหรับพิธีตอนค่ำ เหมาะสำหรับงานเลี้ยงรับรองรับเสด็จ ไปดูมหรสพตอนค่ำ และเฉพาะในงานพระราชพิธีสวนสนามในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ตั้งชื่อตามพระที่นั่งอมรินทร์วินิจฉัย แบบเหมือนไทยจิตรลดา ต่างกันที่ใช้ผ้าและเครื่องประดับหรูหรากว่าไทยจิตรลดา ใช้ผ้าไหมยกดอกที่มีทองแกมหรือยกทองทั้งตัว เสื้อคนละท่อนกับซิ่น ผู้สูงอายุใช้คอกลมกว้าง ไม่มีขอบตั้ง และแขนสามส่วนได้ อนุโลมไม่คาดเข็มขัดได้ ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือ ใช้ในโอกาสพิเศษที่กำหนดให้แต่งกายเต็มยศหรือครึ่งยศ เช่น ในงานพระราชพิธีหรืองานสโมสรสันนิบาต เครื่องประดับเป็นชุดสร้อยคอ ต่างหู สร้อยข้อมือ กระดุมทอง เลือกใช้ให้เหมาะกับโอกาส




ไทยบรมพิมาน ชุดไทยพิธีตอนค่ำ เหมาะสำหรับงานพิธีเต็มยศและครึ่งยศ เช่น งานอุทยานสโมสรงานพระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำอย่างเป็นทางการ หรือเป็นชุดเจ้าสาวในงานระราชทานน้ำสังข์หรือพิธีรดน้ำสังข์ ตั้งชื่อตามพระที่นั่งบรมพิมาน ใช้ผ้ายกไหมหรือยกทองมีเชิง หรือยกทองทั้งตัวก็ได้ ตัดติดกันกับตัวเสื้อ หรือเป็นเสื้อคนละท่อนก็ได้ ซิ่นจีบยกหน้า มีชายพกยาวจรดข้อเท้า ใช้เข็มขัดไทยคาด เสื้อคอกลม ขอบตั้ง ผ่าด้านหน้าหรือด้านหลังก็ได้ แขนยาว เครื่องประดับงดงาม คาดเข็มขัดทอง ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สวมสร้อยคอ ต่างหู สร้อยข้อมือและเกี้ยว ประดับผม




ไทยจักรี ใช้สำหรับงานตอนค่ำ พิธีเต็มยศหรืองานราตรี  ตั้งชื่อตามพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ลักษณะเป็นชุดไทยห่มสไบ ซิ่นตัดแบบหน้านาง มีจีบยกข้างหน้า มีชายพก ใช้ผ้ายกมีเชิงหรือยกทั้งตัวคาดเข็มขัดไทย ท่อนบนเป็นสไบปักดิ้นทอง จะเย็บติดกับซิ่นหรือท่อนเดียวกัน หรือจะมีสไบห่มต่างหากก็ได้ เปิดบ่าข้างหนึ่ง ชายสไบคลุมทิ้งชายด้านหลังยาวตามเห็นสมควร สวมใส่เครื่องประดับให้งดงามตามโอกาส สามารถสวมเครื่องประดับทองครบชุด อันได้แก่ สร้อยคอ สร้อยสังวาล สร้อยข้อมือ ต่างหู รัดแขน และเข็มขัด เป็นต้น




ไทยดุสิต ใช้ในงานพระราชพิธีตอนค่ำที่กำหนดให้แต่งกายเต็มยศ ใส่ในงานกลางคืนแทนชุดราตรีแบบตะวันตก เป็นชุดที่เจ้าสาวนิยมใช้เป็นชุดในงานเลี้ยงฉลองสมรส ตั้งชื่อตามพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ตัวเสื้อไม่มีแขน คอด้านหน้า-หลังคว้านกว้าง เน้นความสวยงามผ่านการปักตกแต่งลวดลายด้วยไข่มุก ลูกปัดหรือลูกเลื่อม เหมาะกับการสวมสายสะพายในพระราชพิธีเต็มยศ ท่อนล่างใช้ผ้าซิ่นยกไทยหรือทอง จีบหน้า มีชายพก จีบเอว คาดชายพกด้วยเข็มขัดไทย เป็นเสื้อผ่าหลัง เครื่องประดับควรสวม สร้อยคอ สร้อยข้อมือ ต่างหู และเข็มขัด โดยใช้เครื่องประดับที่เป็นชุดกัน




 ไทยจักรพรรดิ เป็นแบบไทยแท้ ใช้เป็นชุดกลางคืนในโอกาสพิเศษที่กำหนดให้แต่งกายแบบเต็มยศ หรือฉลองสมรส ตั้งชื่อตามพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ลักษณะเป็นชุดไทยห่มสไบ คล้ายชุดไทยจักรี แต่ท่อนบนจะมีสไบจีบหรือห่มแพรรองก่อนหนึ่งชั้น แล้วจึงใช้สไบทึบปักลายเต็มยศด้วยลูกปัดสีทองอีกหนึ่งชั้น ใช้ซิ่นไหมหรือยกทอง ตัดแบบหน้านาง เอวจีบ จีบหน้า มีชายพก แล้วจึงใช้สไบปักอย่างสตรีบรรดาศักดิ์สมัยโบราณ ห่มทับแพรจีบอีกชั้นหนึ่ง ใช้เข็มขัดไทยคาด เครื่องประดับมักประดับด้วยสร้อยคอ สร้อยสังวาล สร้อยข้อมือ เข็มขัด รัดเกล้า และต่างหู



ไทยศิวาลัย ใช้ในงานตอนค่ำ งานเลี้ยง งานฉลองสมรส งานโอกาสพิเศษที่กำหนดให้แต่งกายเต็มยศ เหมาะสำหรับเวลาที่มีอากาศเย็น เพราะตัวชุดมีหลายชั้น ตั้งชื่อตามพระที่นั่งศิวาลัย ลักษณะคล้ายชุดไทยบรมพิมาน โดยท่อนบนเป็นเสื้อแขนยาว คอตั้งเล็กน้อย แต่ห่มปักลายไทยอย่างแบบไทยจักรพรรดิทับโดยไม่ต้องมีแพรจีบรองพื้นก่อน ท่อนล่างเป็นผ้าซิ่นเย็บติดกับตัวเสื้อ ใช้ซิ่นไหมหรือยกดิ้นทอง ตัดแบบหน้านาง มีชายพก เสื้อตัดแบบแขนยาว ผ่าหลัง เย็บติดกับผ้าซิ่นคล้ายไทยบรมพิมาน เครื่องประดับมักประดับด้วยเครื่องประดับทองได้แก่ สร้อยคอ สร้อยสังวาล เข็มขัด ต่างหู และรัดเกล้า




  ไทยประยุกต์ ใช้ในงานราตรีสโมสร หรือสำหรับเจ้าสาวสวมในงานฉลองสมรสตอนค่ำ เป็นชุดที่ดัดแปลงมาจากชุดไทยจักรี นิยมใส่กันมาก ใช้ผ้ายกมี เชิงหรือยกทั้งตัวซิ่นจีบหน้านาง มีชายพก คาดเข็มขัดไทย ท่อนบนเป็นเสื้อคอกลม คอกว้าง หรือคอแหลม ไม่มีแขนเหมือนกับเสื้อปกติ ตัวเสื้อนิยมปักเลื่อม ลูกปัด ตกแต่งให้ สวยงามตามชอบ







         รองเท้า
ในปัจจุบัน จะเห็นว่ามีรูปแบบรองเท้ามากมาย มีการแบ่งหมวดหมู่ ประเภท และลักษณะการใช้งานที่หลากหลาย และให้ความสำคัญของความสบายในการสวมใส่มีความสำคัญน้อยลง โดยเน้นที่ความสวยงามและความทันสมัยมากขึ้น มีการเปิดกว้างมากขึ้น คือรูปแบบรองเท้าแบบผู้ชาย ผู้หญิงก็สามารถใส่ได้ ตัวอย่างรูปแบบรองเท้าสตรี เช่น






     รองเท้าส้นตึก  เข้ามาพร้อมสมัยกระโปรงมินิ ลักษณะเป็นรองเท้าส้นหนา สูง อาจมีความสูงของส้นถึง 3-4 นิ้ว หรือมากกว่านั้น ทำด้วยไม้เนื้อเบา มีชื่อที่ใช้เรียกล้อกันว่า “ตึก” หรือ ”เตารีด” เพราะมีรูปร่างและความสูง













รองเท้าส้นสูง รองเท้าที่เสริมส้นให้สูง มีหน่วยเป็นนิ้ว ส่วนที่เสริมส้นลักษณะอาจเป็นส้นเล็กบาง หรือส้นหนาก็ได้ ตัวรองเท้ามีหลายรูปแบบ อาจเป็นหุ้มปลายนิ้วและส้นเท้า เปิดปลายนิ้ว เปิดส้นเท้า เป็นสายรัด แล้วแต่ผู้ออกแบบ และความชอบของแต่ละคน

  















รองเท้าคัทชู คล้ายรองเท้าส้นสูง แต่ส้นเตี้ยแบนกว่า ลักษณะหุ้มปลายนิ้วเท้าและส้นเท้ามิดชิด มักใส่ในชีวิตประจำวันได้หลายโอกาส ใส่ในงานสุภาพกึ่งทางการก็ได้
  







เครื่องประดับ
เครื่องประดับสตรีในยุคสมัยนี้ไม่ปรากฏเป็นแบบแผนแน่ชัด ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล และกระแสนิยมจากอิทธิพลต่าง ๆ ในช่วงเวลานั้น หากแต่เลือกให้เหมาะสมกับกาลเทศะและโอกาส




 



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รัชกาลที่ 1-3

รัชกาลที่ 6

รัชกาลที่ 8