รัชกาลที่ 5
การแต่งกายของสตรีไทยในรัชกาลที่ 5
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(พ.ศ.2411 - พ.ศ.2453 ระยะเวลา 42 ปี)
สำหรับการแต่งกายของสตรีในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้น หากเป็นชุดที่สวมใส่เพื่อไปงานพิธีต่าง ๆ จะเป็นการนุ่งโจงกระเบน
ส่วนเสื้อเป็นเสื้อกระบอกแขนยาว ห่มผ้าแพร
จีบตามขวาง สไบเฉียงทับบนเสื้ออีกชั้นหนึ่ง หากอยู่บ้านจะห่มเพียงสไบ
ไม่สวมเสื้อด้านใน และสวมใส่เครื่องประดับเพื่อความสวยงาม ได้แก่ สร้อยคอ สร้อยตัว
สร้อยข้อมือ กําไล แหวน เข็มขัด ซึ่งมีลวดลายประณีตงดงาม
ต่อมาในตอนกลางสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2430-2440 ในช่วงนี้หลังจากที่รัชกาลที่ 5 เสด็จกลับจากการประพาสยุโรป
ทำให้การแต่งกายของชาวไทยมีความเปลี่ยนแปลง
โดยได้รับอิทธิพลจากการแต่งกายแบบตะวันตกมากขึ้น
สำหรับการแต่งกายของสตรีไทยในสมัยนี้เริ่มหันมานิยมเสื้อแบบอังกฤษ
เป็นเสื้อคอตั้งแขนยาว ต้นแขนพองคล้ายขาหมูแฮม แต่ยังคงมีผ้าห่ม
เป็นผ้าแพรสไบเฉียงอยู่ ซึ่งกานสามใส่จะขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับโอกาส
และยังคงนิยมนุ่งผ้าจีบ ไว้ชายพก ส่วนการแต่งกายในโอกาสสำคัญแบบเต็มยศนั้น
ยังคงแต่งแบบนุ่งผ้ายกห่มตาดอยู่เหมือนเดิม ซึ่งมีมาตั้งแต่โบราณ
นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ยังได้พระราชทานแพรสะพายสีชมพูปักด้วยดิ้นเป็นลวดลายต่าง ๆ ตามชั้นยศสําหรับฝ่ายในอีกด้วย
ตอนปลายสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สตรีไทยเลิกนุ่งผ้าจีบ
แล้วหันมานุ่งโจงกระเบนเกือบทั้งหมด เสื้อนิยมใช้ผ้าแพร ไหม ผ้าลูกไม้
ในส่วนของการตัดเย็บ ออกแบบ
อีกทั้งการแต่งกายของเจ้านายฝ่ายในยังปรับเปลี่ยนตามแบบตะวันตกมากขึ้น คือ
เป็นเสื้อคอตั้งสูง แขนลูกไม้ยาวพอง เอวเสื้อบ้างจีบเข้ารูป บ้างก็คาดเข็มขัด
กลัดเข็ม แต่สิ่งที่ยังคงเดิมไว้ คือ ยังคงห่มสไบแพรอยู่ สวมถุงเท้ามีลวดลายปักสี
และเริ่มสวมรองเท้าส้นสูง
นอกจากนี้แล้ว
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ถือว่าเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ
ด้าน เนื่องมาจาก การติดต่อกับประเทศตะวันตกที่มากขึ้น
ทำให้อารยธรรมตะวันตกเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทย
เกิดการเปลี่ยนแปลงทางขนมประเพณี
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ได้เริ่มขึ้นจากในราชสํานักก่อน
จากนั้นจึงแพร่หลายออกมาถึงราษฎรต่อไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น